มนุษย์เสนอ พระเจ้าจัดการ
สุภาษิต บทที่ 16 ข้อ 9
มีเรื่องราวชีวิตของคน 2 ยุคให้เราได้เรียนรู้ด้วยกัน ในยุคของพระคัมภีร์คือ แซมสัน และยุคปัจจุบันคือ Steve Jobs ในเรื่องของแผนที่เราเตรียมไว้อย่างดี ไปสู่การชี้นำที่ดีกว่า เป้าหมายที่อยากจะคุยในวันนี้คือ อยากจะเจาะลึกว่า ทำไมแผนจึงไม่เป็นไปในสิ่งที่เราคาดหวังไว้ และอะไรคือองค์ประกอบสำคัญจริงๆ ที่นำเราไปสู่ความสำเร็จ
เรื่องของแซมสัน
จากพระคัมภีร์เดิม แซมสันได้รับมอบหมายภารกิจพิเศษจากพระเจ้า หรือที่เรียกว่าเจิมมาให้เป็นผู้ปลดปล่อยชาวอิสราเอล แต่ปรากฏว่าเขากลับเลือกใช้ชีวิตตามใจตัวเอง ไม่ค่อยฟังใครสุดท้ายก็นำไปสู่ความผิดพลาดครั้งใหญ่ เลยถูกจับทำให้อ่อนแอลงกลายเป็นทาส แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือในช่วงท้ายของชีวิต เขากลับใจ แล้วก็ร้องขอพลังจากพระเจ้าอีกครั้ง ซึ่งพระเจ้าก็ตอบมา เพื่อให้เขาทำงานยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายได้แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
เรื่องของสตีฟ จ๊อบ
ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นแตกต่างกันมากๆ เลยก็คือ สตีฟ จ๊อบ ผู้ร่วมก่อตั้งแต่บริษัทแอปเปิ้ล คือเขามีแผนงานที่ใหญ่มาก ต้องการเปลี่ยนโลกด้วยเทคโนโลยีอะไรแบบนั้น แต่ในปี 1985 ปัญหาชีวิตเขาก็พลิกกลับ ถูกบีบให้ออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้างขึ้นมากับมือ ตอนนั้นอายุแค่ 30 เขาเคยบอกว่า “รู้สึกเหมือนทุกอย่างจบสิ้นหมดแล้ว ในช่วงเวลานั้น ชีวิตของเขาล้มเหลว แผนการทุกอย่างพังลง แต่เขาก็พยายาม แล้วก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ซึ่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่การกลับมาที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมอีก ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกไว้ว่า “การถูกไล่ออกครั้งนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับเขาเลยก็ได้”
ทั้ง 2 เรื่องนี้ แม้จะต่างยุคต่างบริบทกันมากๆ เลย แต่ก็สะท้อน บทเรียนคล้ายๆ กันเลย ไม่ใช่แค่ว่าความล้มเหลวที่จุดจบนะ แต่มันเหมือนกับว่าในความล้มเหลวที่เกิดขึ้นนั้น มันไปกระตุ้นให้เกิดการการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญในตัวเขา อย่างแซมสันกลับไปหาพระเจ้า ส่วนสตีฟ จ๊อบ ก็เหมือนกลับไปสู่แก่นแท้ของแผนงานของตัวเอง หลังจากที่ผ่านมาอาจจะหลงทางไปบ้าง ความล้มเหลวกลายเป็นจุดที่ทำให้เกิดการจัดเรียงทิศทางชีวิตใหม่ไปเลย แต่สุดท้าย สตีฟ จ๊อบ ก็ต้องทิ้งทุกอย่างไป เพราะเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง เมื่ออายุ 56 ปี ดังนั้นแผนการที่ดีต้องมีพระเจ้าช่วย คำเทศนาในวันนี้อยู่ในหัวข้อ...
มนุษย์เสนอ พระเจ้าจัดการ
สุภาษิต บทที่ 16 ข้อ 9
เราทุกคนมีสิทธิ์และสามารถวางแผนชีวิตของเราเองได้ เพียงแต่ว่า ถ้าแผนงานนั้น ผ่านทางพระเจ้าเท่านั้นที่ทำให้เรามีพลัง และเป็นพลังงานที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง คำพูดนี้ถือเป็นบทสรุปของพระธรรมสุภาษิตบทที่ 16
ในพระคัมภีร์มีอยู่หลายตอนที่พูดถึงเรื่องการวางแผน แต่สุภาษิตบทที่ 16 ได้บอกอย่างชัดเจนว่าเราควรวางแผนงานของเราอย่างไร โดยเฉพาะบทที่ 16 ข้อ 9 “ใจของมนุษย์กะแผนงานทางของเขา แต่พระยาห์เวห์ทรงนำย่างเท้าของเขา”
มีประเด็นสำคัญของพระคัมภีร์ข้อนี้ก็คือ
ผู้วางแผนคือมนุษย์: การที่มนุษย์คิดและวางแผนทางของตนเองนั้นไม่ใช่เรื่องผิด ซึ่งจริงๆ แล้ว หลายคนน่าจะวางแผนทางของตนเองได้อย่างรอบคอบมาก และทำได้ดีด้วย แต่พระวจนะบอกว่า
พระเจ้าทรงนำย่างก้าวของเรา: แม้ว่าเราจะวางแผนได้ แต่เราไม่ควรถือว่าความสามารถในการวางแผนของเราทำให้เรากำหนดความสำเร็จของเราได้ พระเจ้าต่างหากที่ทรงนำย่างก้าวของเรา แผนการทุกอย่างที่เราทำควรถ่อมใจต่อพระเจ้าและยอมจำนนต่อพระประสงค์สูงสุดของพระองค์ ซึ่งเป็น
การควบคุมของพระเจ้า: คนๆ หนึ่งอาจวางแผนเส้นทางของเขาอย่างละเอียด แต่เขาไม่สามารถดำเนินการตามแผนให้สำเร็จอย่างแท้จริงได้ เว้นแต่แผนนั้นจะสอดคล้องกับแผนการของพระยาห์เวห์สำหรับเขา ไม่มีใครสามารถก้าวข้ามการปกครองหรือการควบคุมของพระเจ้าได้ หรือคิดค้นวิธีที่จะปฏิเสธพระองค์หรือดีกว่าพระองค์ได้
แผนมีทั้งแผนดีและแผนร้าย: หลักการนี้เป็นจริงทั้งกับแผนการที่ดีและไม่ดี ประเด็นคือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เราวางแผนไว้ กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนด เปาโลกล่าวว่า พระเจ้าทรงสามารถทำได้เกินกว่าที่เราทูลขอหรือคิดไว้มากมาย (เอเฟซัส บทที่ 3 ข้อ 20) แน่นอนว่าพระเจ้าไม่สนับสนุนแผนร้ายอย่างแน่นอน
บทที่ 16 ข้อ 9 นี้คือ มนุษย์เสนอ พระเจ้าจัดการ: ในฐานะมนุษย์ ที่มีเหตุผล เราคิด ปรึกษา และกระทำอย่างอิสระ แต่เราเป็นมนุษย์ที่ต้องพึ่งพา และพระเจ้าทรงใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในการอนุญาต ควบคุม หรือส่งเสริมการกระทำของเรา ดังนั้น มนุษย์เป็นผู้เสนอ และพระเจ้าทรงจัดการให้สำเร็จ
โดยสรุป สุภาษิตข้อนี้เน้นย้ำว่า แม้มนุษย์จะมีบทบาทในการวางแผน แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายและการควบคุมทิศทางของชีวิตนั้นมาจากพระเจ้า มนุษย์เสนออะไร มนุษย์เสนอเป้าหมายหรือแผนการของชีวิต เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งที่เราต้องการให้พระเจ้าเข้ามาจัดการให้พบกับความสำเร็จ
มีสามสิ่งที่เราต้องมีก่อนที่จะไปถึงเป้าหมายและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ — และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ประทานสิ่งเหล่านี้ให้ได้
1. พระวิญญาณบริสุทธิ์ : เราต้องการพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อเสริมกำลังเรา
พระวิญญาณของพระเจ้าสามารถช่วยให้เราทำการเปลี่ยนแปลงที่เราไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจากกำลังหรือการพยายามด้วยตัวเอง แต่เกิดจากฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการ “พยายาม” แต่ขึ้นอยู่กับการ “วางใจ”
เศคาริยาห์ บทที่ 4 ข้อ 6 กล่าวว่า
“‘เจ้าจะไม่สำเร็จด้วยกำลังของตัวเอง หรือด้วยพลังของตนเอง แต่ด้วยพระวิญญาณของเรา’ องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนี้”
2. พระวจนะ : เราต้องการพระวจนะของพระเจ้าเพื่อนำทางเรา
สิ่งที่จะนำเราในการเดินทางคือแผนที่หรือ GPS
GPS ของชีวิตคือพระคัมภีร์หรือพระคำของพระเจ้า
พระคัมภีร์คือคู่มือการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ยิ่งเราอ่าน ศึกษา ท่องจำ และไตร่ตรองพระคัมภีร์มากเท่าไร เราก็จะประสบความสำเร็จและพบกับการเติมเต็มมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อโยชูวาได้รับนิมิตอันยิ่งใหญ่ในการพิชิตแผ่นดินพระสัญญา — เป็นเป้าหมายที่โยชูวาใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อที่จะไปถึง — ในเวลานั้น พระเจ้าตรัสกับเขาว่า
“หนังสือธรรมบัญญัตินี้อย่าให้พรากไปจากปากของเจ้า แต่จงภาวนาครุ่นคิดทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระมัดระวังทำตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในนั้น เพราะเมื่อนั้นเจ้าจึงจะทำให้ทางของเจ้าราบรื่น และเมื่อนั้นเจ้าจะประสบความสำเร็จ” (โยชูวา บทที่ 1 ข้อ 8)
3. ประชากรของพระเจ้า : เราต้องการประชากรของพระเจ้าเพื่อสนับสนุนเรา
เราจะไม่สามารถไปถึงเป้าหมายเพียงลำพังได้ ต้องใช้ “ทีม” เพื่อทำให้ “เป้าหมาย” เป็นจริง!
ผู้คนจำนวนมาก หรือคนทั่วไป อาจไม่สามารถดูแลเราได้ แต่กลุ่มเล็กๆ ที่บอกว่าเป็นประชากรของพระเจ้า หรือคริสตจักร สามารถทำได้ คริสตจักรจะรู้เมื่อเราเจ็บป่วย เมื่อเรากำลังเผชิญความยากลำบาก หรือเมื่อเราต้องการหยุดพัก คริสตจักรจะเป็นที่ให้เราแบ่งปันเป้าหมาย รวมถึงความสำเร็จและความล้มเหลว และคริสตจักรจะยินดีกับเราและหนุนใจเราให้ก้าวต่อไป ดังนั้น เราจำเป็นต้องมีการสนับสนุนเช่นนี้เมื่อเราตั้งเป้าหมายที่ถูกต้องและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อความสำเร็จ
ในพระคัมภีร์ ปัญญาจารย์ บทที่ 4 ข้อ 12 กล่าวว่า “แม้คนหนึ่งสู้คนเดียวได้ สองคนคงสู้เขาได้แน่ เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้”
“เมื่ออยู่คนเดียว เราก็ไม่มีกำลังพอ แต่เมื่อมีเพื่อน เราสามารถเผชิญสิ่งที่เลวร้ายที่สุดได้ ถ้ามีสามคนล่ะ? เชือกสามเกลียวก็ยากที่จะขาด”
เราสามารถวางแผนและตั้งเป้าหมายได้ — แต่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถให้กำลัง ทิศทาง และการสนับสนุนที่เราต้องการ เพื่อใช้ชีวิตตามการทรงเรียกของพระองค์ให้สำเร็จ สามสิ่งที่เราต้องมีก่อนที่จะไปถึงเป้าหมายและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ คือเรามี พระวิญญาณของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า และประชากรของพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้า เป็นส่วนของพระเจ้าที่ทำกับเรา
ประชากรของพระเจ้า คือพี่น้องของเราในคริสตจักรที่จะมีส่วนกับเรา
ส่วนเรื่องพระวจนะของพระเจ้า เป็นหน้าที่ของเรา
แล้วเราจะต้องทำอย่างไรกับหน้าที่นี้
ในฐานะคริสเตียน เราสามารถทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันได้ เพื่อจะเติบโตและได้รับสติปัญญาจากพระคำนั้น เพื่อจะดำเนินชีวิตอย่างประสบความสำเร็จได้ นี่คือวิธีปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและสามารถนำไปใช้ได้ทันที
การอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำ
เริ่มวันใหม่ด้วยการอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐาน การอธิษฐานขอให้พระเจ้าเปิดเผยความเข้าใจในพระคำจะช่วยให้เราเชื่อมโยงพระคำนั้นเข้ากับชีวิตจริงได้ดียิ่งขึ้น หากเรามีเวลามากพอ
การศึกษาพระวจนะอย่างเจาะลึก
เราสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายในปัจจุบัน เช่น มานาประจำวัน เริ่มง่ายๆ แต่ช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น เพื่อช่วยในการศึกษาอย่างเจาะลึก การเขียนบันทึกแต่ละวันในสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอ่านพระคัมภีร์และสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงผ่านทางพระคำนั้น จะช่วยให้เราได้ทบทวนและจดจำสิ่งที่ได้เรียนรู้
การท่องจำและใคร่ครวญพระคัมภีร์
การท่องจำพระคัมภีร์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการทำให้พระคำของพระเจ้าฝังลึกในใจเรา เมื่อเราท่องจำได้แล้ว การใคร่ครวญถึงความหมายของข้อพระคัมภีร์นั้น จะช่วยให้เรานำพระคำไปใช้ในการตัดสินใจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ (นอกจากการอ่านแล้ว ยังมีการฟังด้วย)
การรับฟังและมีส่วนร่วมในคริสตจักร (ไม่ว่าจะเป็นในการนมัสการหรือออนไลน์)
คริสตจักรเป็นสถานที่ที่เราจะเติบโตในความเชื่อและได้รับคำสอนที่ถูกต้องจากพระคำ การเข้าร่วมฟังคำเทศนา การศึกษาพระคัมภีร์ และการร่วมกลุ่มเซลล์หรือกลุ่มสามัคคีธรรมเป็นประจำ จะช่วยให้เราเข้าใจพระคำของพระเจ้าในบริบทที่กว้างขึ้น และมีโอกาสได้เรียนรู้จากพี่น้องในความเชื่อคนอื่นๆ อย่างกลุ่มอธิษฐานของเรา
ในเรื่องราวของแซมสัน และสตีฟ จ๊อบ เน้นที่หัวใจของการล้มเหลวจากแผนชีวิต และการกลับคืนสู่ความหวังผ่านพระเจ้า
1. แผนชีวิตที่ดูดี อาจไม่ใช่แผนของพระเจ้า
2. ความล้มเหลวเปิดทางให้พระเจ้าเข้ามา
3. พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้ง แม้เราจะล้มเหลว
ยอห์น บทที่ 16 ข้อ 33 “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”
ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับใจ และการเดินในแผนของพระเจ้า
ความสำคัญที่สุดคือการนำพระคำของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตประจำวัน การอ่านพระคำไม่ใช่เพื่อแค่รับรู้ แต่เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราในทางที่ดีขึ้นตามแบบแผนของพระเจ้า ให้เราถามตัวเองเสมอว่า "พระคำตอนนี้บอกให้เราทำอะไร" และ "เราจะนำสิ่งนี้ไปใช้ในชีวิตอย่างไร"
การทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความตั้งใจและวินัย การเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ และทำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราเติบโตในความเชื่อและได้พบกับชีวิตที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง เพียงแต่ให้เราเข้าใจบทบาท มนุษย์เป็นผู้เสนอ พระเจ้าจะทรงจัดการให้สำเร็จ