ความเชื่อที่สั่นคลอน: บทเรียนจากเปโตรบนผืนน้ำ
นี่คือเรื่องที่เราจะมาคุยกันเรื่องที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยดี จากพระธรรมมัธทิวบทที่ 14 คือตอนที่เปโตรพยายามเดินบนน้ำไปหาพระเยซู เป้าหมายของเราวันนี้ก็คืออยากจะทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับเปโตรให้มากขึ้น
สรุปเรื่องราวโดยย่อ มัทธิว 14 บรรจุเรื่องราวการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงเดินบนน้ำ หลังจากเลี้ยงคนหลายพันคนด้วยอาหารเพียงเล็กน้อย พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน ฝ่ายเหล่าสาวกต้องพายเรือฝ่าลมแรงตลอดทั้งคืน พระเยซูทรงเดินบนน้ำมาหาพวกเขา เปโตรเดินบนน้ำกับพระเยซูได้ชั่วครู่ก่อนที่จะกลัวลมและคลื่นแล้วเริ่มจม พระเยซูทรงช่วยเปโตรไว้และถามว่าทำไมเขาจึงสงสัย เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นเรือ ลมก็สงบลง และเหล่าสาวกก็พากันนมัสการพระองค์ในฐานะพระบุตรของพระเจ้า
คำเทศนาในวันนี้อยู่ในหัวข้อ “ท่านผู้มีความเชื่อน้อย" จากมัทธิว 14:26-31
เรามาดูเหตุการณ์นั้นอีกครั้งในข้อพระคัมภีร์
มัทธิว 14:26-31 TH1971
[26] เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินมาบนทะเลเขาก็ตกใจนัก ร้องอึงไปเพราะกลัว คิดว่าเป็นผี [27] ในทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับเขาว่า “ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง อย่ากลัวเลย” [28] ฝ่ายเปโตรจึงทูลตอบพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์แน่แล้ว ขอทรงโปรดบอกให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์” [29] พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือเดินบนน้ำไปหาพระเยซู [30] แต่เมื่อเขาเห็นลมพัดแรงก็กลัว และเมื่อกำลังจะจมก็ร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย” [31] ในทันใดนั้นพระเยซูทรงเอื้อมพระหัตถ์จับเขาไว้ แล้วตรัสว่า “ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง”
มีข้อหนึ่งที่ทำให้เราต้องหยุดคิดและตั้งคำถาม นั่นคือ มัทธิว 14:31 ที่กล่าวว่า “พระเยซูจึงเอื้อมพระหัตถ์จับเปโตรไว้ทันที แล้วตรัสว่า “ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง”
มัทธิว 14:31 หมายความว่าอย่างไร แล้วเราเรียนรู้อะไรได้บ้าง?
เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ ความสงสัยเเล้วก็การรับมือกับความกลัวของเราเองด้วย ย้อนกลับไปที่เรื่องราวที่อ่านไปแล้วก็คือ ตอนนั้นพระเยซูเดินบนน้ำมาหาเหล่าสาวกที่กําลังเจอพายุอยู่กลางทะเล แต่เปโตรกลับมีปฏิกิริยาที่ต่างออกไปคือ ขอเดินบนน้ำไปหาพระองค์
ในพระคัมภีร์ข้อสั้น ๆ ข้อที่ 31 นี้ มีหลายสิ่งเกิดขึ้น
ประการแรก พระเยซูทรงช่วยชีวิตเปโตร ทำให้การอัศจรรย์แห่งการเดินบนน้ำยิ่งน่าประทับใจมากขึ้นไปอีก เปโตรเดินบนน้ำได้แล้ว แต่ว่า พอหันไปเห็นลมพายุที่มันแรงมากมาก ความกลัวก็เข้ามา แล้วก็เริ่มจมลง (มัทธิว 14:28–30) และพระเยซูสามารถคว้าตัวเขาไว้ได้ โดยที่พระองค์เองก็ไม่จมลงไปในน้ำเช่นกัน เพื่อจะทำเช่นนั้นได้ พระองค์จะต้องยืนอย่างมั่นคงบนผิวน้ำ มันต้องเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากที่ได้เห็น รอบข้างพระองค์มีพายุ แต่ผิวน้ำตรงที่พระองค์ยืนนั้น นิ่ง จนยืนได้อย่างมั่นคง
ประการที่สอง พระเยซูทรงตอบสนองในแบบที่เกินความคาดหมายของเราอีกครั้ง พระองค์ไม่ได้ตอบสนองต่อเปโตรในแบบที่เราอาจจะคิด เปโตรเพิ่งจะเดินบนน้ำได้ เราไม่รู้ว่าเขาเดินไปไกลแค่ไหน แต่เขาได้ทำสิ่งนั้นแล้ว เขาเชื่อมั่นในฤทธิ์อำนาจของพระเยซูอย่างเต็มที่ที่จะสำแดงผ่านเขา และทำให้เขาสามารถเดินบนน้ำได้เช่นกัน ไม่มีใครสามารถทำแบบนี้ได้ถ้ามาก่อนไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้า มันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก
เราอาจจะคาดหวังให้พระเยซูตรัสว่า “ดีมาก เก่งมาก” แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระเยซูไม่ได้ทรงกล่าวชมเชยใด ๆ หลังจากช่วยเปโตรให้รอดจากการจมน้ำ พระองค์ตรัสคำที่มีชื่อเสียงว่า "โอ! เจ้าผู้มีความเชื่อน้อย" พระองค์ตรัสถึงการขาดความเชื่อของเปโตร แทนที่จะชื่นชมความเชื่อ เชื่อขนาดที่เดินบนน้ำได้ พระเยซูยังตรัสเสริมว่า "ทำไมท่านจึงสงสัยเล่า?"
คำถามที่เราจะมาใคร่ครวญร่วมกันในวันนี้คือ “พระเยซูทรงตำหนิเปโตรจริง ๆ หรือ? กับคำถามที่ว่า เจ้าช่างมีความเชื่อน้อย”
เมื่ออ่านข้อนี้ เราอาจมีความเห็นที่แตกต่างกันไป บางคนบอกว่าพระเยซูกำลังตำหนิเปโตรที่ขาดความเชื่อ แต่บางคนก็มองว่าพระเยซูไม่ได้ตำหนิ แต่เป็นการสอน วันนี้เราจะมาดูความหมายที่แท้จริงจากมุมมองของความรักและพระคุณของพระเยซูคริสต์
คำตอบ ไม่ใช่การตำหนิ แต่เป็นการสอนด้วยความรัก
เมื่อเรามองดูการกระทำของพระเยซูคริสต์ในช่วงเวลานั้น เราจะเห็นถึงความรักและความเมตตาที่เปี่ยมล้น
นี่จึงเป็นการแก้ไขด้วยความรักและพระคุณ ไม่ใช่การตำหนิด้วยความโกรธ พระเยซูทรงใช้สถานการณ์นี้เป็นโอกาสในการสอนเปโตรและสาวกคนอื่น ๆ ให้เข้าใจบทเรียนที่สำคัญ
เป็น บทเรียนเพื่อความเชื่อที่มั่นคง
แล้วบทเรียนที่ว่าคืออะไร?
สรุป
พระเยซูไม่ได้ตำหนิเปโตรด้วยความโกรธ แต่ทรงแก้ไขด้วยความรักที่เปี่ยมด้วยพระคุณ บทเรียนจากเหตุการณ์นี้จึงเป็นข้อเตือนใจสำหรับเราทุกคนว่า:
1. จงจับจ้องที่พระเยซูเสมอ: ในทุกปัญหาที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพายุลูกใหญ่แค่ไหน จงอย่าละสายตาจากพระองค์ไปมองดูคลื่นแห่งปัญหา
2. พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา: แม้ความเชื่อของเราจะอ่อนแอหรือสั่นคลอนเพียงใดก็ตาม พระองค์ก็ไม่เคยละทิ้งเรา พระหัตถ์แห่งความรักของพระองค์พร้อมที่จะช่วยเราเสมอ
ขอให้เราทุกคนได้ใคร่ครวญถึงความรักอันยิ่งใหญ่นี้ และให้ความเชื่อของเราเติบโตมั่นคงขึ้นในทุก ๆ วัน
เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์มัทธิว 14:31 เราอาจจะประทับใจในความเชื่อในตอนแรกของเปโตร แต่พระเยซูทรงกังวลมากกว่าว่า อะไรที่ทำให้เปโตรหยุดที่จะวางใจในพระองค์ต่อไป เปโตรเดินบนน้ำได้ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า! แล้วอะไรเล่าที่จะทำให้เขาคิดว่าเขาไม่สามารถเดินบนน้ำด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้อีกต่อไป ทั้งที่เขาได้กำลังเดินไป? พระคัมภีร์ข้อก่อนหน้าได้ให้คำตอบไว้แล้ว: ความกลัวของเปโตรได้เข้าครอบงำความเชื่อของเขา ความกลัวคือจุดอ่อนที่ทำให้เขาไม่สามารถวางใจในพระเยซูที่จะมอบพลังให้เขาทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ต่อไปได้
การดำเนินชีวิตคริสเตียนของเราทุกวันนี้ก็เหมือนกับเปโตรเดินบนน้ำ เพราะความเชื่อทำให้เราเข้ามาหาพระเยซู แล้วอะไรเล่าที่ทำให้เราไม่สามารถเดินบนน้ำต่อไปได้และกำลังจะจมลง เรากลัวเช่นเดียวกับเปโตรหรือเปล่า
ระหว่างที่เปโตรเดินบนน้ำ พายุยังมีหรือไม่ คลื่นลมยังมีหรือไม่ เช่นเดียวกัน ในระหว่างการดำเนินชีวิตคริสเตียนของเรา ย่อมมีปัญหา ย่อมมีอุปสรรค (บางวันคลื่นลมเบา บางวันคลื่นลมแรง)
การตอบสนองของพระเยซูอาจดูรุนแรง คำพูดของพระองค์อาจจะบั่นทอนจิตใจของเปโตร เหมือนการตำหนิ แต่เป็นการชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่เราจำเป็นต้องตระหนัก: ความเชื่อในพระเยซูทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ แต่ความกลัวจะบั่นทอนความเชื่อให้ตายไป
เราไม่จำเป็นต้องรอให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์แบบ 100% ก่อนที่จะก้าวเดินไปกับพระเจ้า ความเชื่อที่อ่อนแอก็ยังคงเป็นความเชื่อ และพระเจ้าทรงพร้อมที่จะทำงานในชีวิตของเรา แม้ว่าเราจะยังคงมีความสงสัยอยู่บ้างก็ตาม แต่เรามักจะจดจ่ออยู่กับปัญหาเหล่านั้นมากเกินไป จนทำให้เราหลงลืมไปว่าพระเยซูทรงอยู่กับเรา
¼เมื่อเรามองดูปัญหา ความกลัวจะเข้ามาแทนที่ความเชื่อ แต่เมื่อเรามองดูพระเยซู ความเชื่อจะเข้มแข็งขึ้น
นี่คือภาพสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า พระองค์ไม่เคยลงโทษเราเมื่อเราผิดพลาด แต่ทรงประสงค์ที่จะแก้ไขเราด้วยความรัก เพื่อให้เราเรียนรู้และเติบโตในความเชื่อให้มั่นคงยิ่งขึ้น ดังนั้น เราต้องต่อสู้กับความกลัวด้วยการเพ่งมองไปที่ความจริงว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ มีความเมตตา และมีความรักอยู่กับเรา
Top of Form
Bottom of Form